Saturday, September 15, 2007

โยคะใบหน้าอำลาริ้วรอย

โยคะใบหน้า อำลาริ้วรอย


โยคะใบหน้า เป็นการนวดหน้าที่มีระบบ มีการกดจุด พร้อมกับการหายใจเข้า-ออก เพื่อช่วยผ่อนคลายให้กับผิวหน้า ทำให้ริ้วรอยจางลง การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น คงความอ่อนเยาว์ และทำให้ผิวตึงตัวไม่หย่อนคล้อย
เริ่มบริหารใบหน้าด้วยโยคะกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อชะลอความเสื่อมโทรมของผิวให้ช้าลง
ความเปล่งปลั่งสวยงามจะได้อยู่กับคุณนานเท่านาน เริ่มต้นด้วยการล้างหน้าและทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ซึ่งจะช่วยให้การลูบผิวเพื่อการทำโยคะหน้าเป็นไปได้ง่ายขึ้น...

1. ยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของใบหน้า ทำท่าละ 3-5 ครั้ง โดยช่วงที่กดลูบให้หายใจเข้า เมื่อปล่อยให้หายใจออก
หน้าผาก ยืดกล้ามเนื้อโดยใช้นิ้วชี้กดตรงโคนผมเพื่อให้ผิวยืด จากนั้นใช้นิ้วกลางหรือนิ้วนางกดลูบผิวลงมาบริเวณหน้าผากช้าๆ

ระหว่างคิ้ว ใช้นิ้วที่ถนัดวางที่หว่างคิ้ว กดเบาๆ แล้วลูบออกไปด้านข้าง ระวังอย่ากดแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดรอยช้ำได้

จมูก ลูบบริเวณสันจมูกจากบนลงล่าง จากนั้นลูบออกด้านข้างตามแนวของกล้ามเนื้อ

รอบดวงตา กดที่หัวตาเบาๆ แล้วลูบออกไปทางด้านข้าง ทั้งด้านบนและด้านล่าง

รอบริมฝีปาก ใช้นิ้วกดเบาๆ ที่มุมปาก ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของอีกมือหนึ่งค่อยๆ ลูบออกไปทั้ง 4 ทิศทาง คือ เฉียงขึ้นไปทางไรผม ด้านข้างตรงไปถึงติ่งหู เฉียงลงทางขากรรไกร และลงไปที่ปลายคาง ทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง
คอและคาง วางมือบนปุ่มกระดูกไหปลาร้า แล้วลากมือเฉียงผ่านลำคอขึ้นไปข้างๆ ใบหน้าจนถึงหู จากนั้นวางมือบริเวณกระดูกขากรรไกร ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางนวดแนวกระดูกขากรรไกรจากคางขึ้นไปถึงหู


2. เมื่อยืดกล้ามเนื้อใบหน้าเสร็จแล้ว ให้ออกกำลังกล้ามเนื้อใบหน้าต่อ โดยพยายามเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ ให้มากที่สุด
หน้าผาก ย่นหน้าผากขึ้นเต็มที่ ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที แล้วปล่อย ทำซ้ำประมาณ 3-5 ครั้ง

รอบดวงตา หยีตาหรือหลับตาปี๋ให้เต็มที่

ริมฝีปาก ยิ้มเต็มที่แบบสุดๆ

จมูก ย่นจมูกให้อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าย่นเข้าหากัน




เมื่อออกกำลังกล้ามเนื้อใบหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ต่อด้วยการยืดกล้ามเนื้อตลอดทั้งลำตัว
เพื่อให้เป็นการจบที่เสร็จสมบูรณ์ค่ะ

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเมื่อมีความเครียด

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเมื่อมีความเครียด


ร่างกายเราต้องการอาหารเหมือนกับรถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อใช้เป็นพลังงานในการขับเคลื่อน แต่ในความเร่งรีบของชีวิตประจำวันอาจทำให้หลายคนไม่ได้พิถีพิถันกับการเลือกอาหาร คิดแค่ว่ากินอะไรก็ได้เพื่อให้มีแรงทำงาน โดยไม่ใส่ใจว่าอาหารนั้นให้สารอาหารอื่นที่เป็นประโยชน์หรือไม่

บางคนดำรงชีวิตระหว่างชั่วโมงทำงานที่เคร่งเครียดด้วยกาแฟนับสิบถ้วย ขนมหรือของว่างตามแต่จะหาได้ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวันจึงจบด้วยอาหารมื้อใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องรีบเข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมที่เร่งรีบในวันต่อไป แต่บางครั้งความเครียดที่สะสมมาทั้งวันหรืออาหารมื้อใหญ่ที่เพิ่งผ่านไป กลับส่งผลให้เกิดปัญหานอนไม่หลับ ซ้ำยิ่งทำให้เครียดมากยิ่งขึ้น หากดำรงชีวิตเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สุขภาพคงค่อยๆ เสื่อมถอยลดลง

เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการนำสารอาหารหลายชนิดไปใช้ในการสร้างฮอร์โมน เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และยังมีการขับสารอาหารบางชนิดออกทางปัสสาวะมากขึ้นด้วย จึงทำให้มีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น และหากมีความเครียดสะสมเป็นเวลานานด้วยอีก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอ ทำให้เจ็บป่วยง่าย จึงเป็นเรื่องที่ควรรู้ถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อมีความเครียด

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อมีความเครียด
วิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต่อการคลายความเครียด พบมากในผักใบเขียว ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ธัญพืช นม ไข่ และอาหารทะเล

วิตามินซี ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผลไม้โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง และในผัก เช่น พริก บล็อกโคลี มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักใบเขียว แตงต่างๆ

วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในถั่วเปลือกแข็ง งา จมูกข้าวสาลี

โปแตสเซียม ช่วยในการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ควบคุมความดันโลหิต และจำเป็นสำหรับการส่งสัญญานประสาททุกชนิด พบมากในอาหารจากพืช เช่น ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผลไม้แห้ง มันฝรั่ง มะเขือเทศ และผลไม้ โดยเฉพาะกล้วยและส้ม

แมกนีเซียม มีหน้าที่ช่วยในการส่งสัญญานประสาท พบมากในข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบเขียว

สังกะสี มีหน้าที่ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบมากในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ตับ ไข่แดง นม ธัญพืช และอาหารทะเล

จะเห็นว่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ต่อสู้กับความเครียด มีอยู่ในอาหารทั่วๆไปที่หาซื้อได้ง่าย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็แนะนำให้ลองดูตัวอย่างเมนูอาหารคลายเครียดด้านล่าง

ตัวอย่างเมนูคลายเครียด

อาหารเช้า น้ำเต้าหู้ใส่เครื่องโรยงาหรือจมูกข้าวสาลี + ผลไม้สด
หรือ แซนวิชทูน่า(ทำจากขนมปังโฮลวีท) + นม/โยเกิร์ตชนิดพร่องไขมัน + ผลไม้สด/น้ำผลไม้

อาหารกลางวัน ข้าวราดผัดกระเพรา + ผลไม้ปั่น/สมูทตี้
หรือ เย็นตาโฟ/บะหมี่หมูแดง + เต้าฮวยฟรุ้ตสลัด

อาหารว่างบ่าย ถั่วลิสงต้ม/อบ หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ หรือกล้วยปิ้ง หรือผลไม้สด หรือนม/โยเกิร์ต
ชนิดพร่องไขมัน

อาหารเย็น ข้าวต้มปลา + ผลไม้สด
หรือ ข้าว + แกงส้มผักรวมใส่กุ้ง + ไข่เจียว +ผลไม้สด



บางท่านอาจมีงานยุ่งจนแทบหาเวลากินไม่ได้ หรือทำงานที่ต้องเดินทางตลอด ทำให้บางช่วงอาจไม่สามารถแวะหาของกินได้ หากเป็นเช่นนี้การหาอาหารมีประโยชน์และไม่เสียง่าย ติดไว้ในที่ทำงานหรือในรถเพื่อกินรองท้องแทนขนมหวานชนิดต่างๆ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เช่น
แครกเกอร์โฮลวีท ถั่วชนิดต่างๆ นมพร่องไขมันชนิดยูเอชทีหรือสเตอริไรส์ น้ำผลไม้ชนิดยูเอชที เป็นต้น และเมื่อทำธุระต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วก็อย่าลืมหาอาหารประเภทธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ไม่ติดมันชนิดต่างๆ และผลไม้สดกินเพิ่มเติมในปริมาณที่เหมาะสม
เพียงเท่านี้ท่านก็ได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานแก่ร่างกาย มีประโยชน์ช่วยในการผ่อนคลายความเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน(ทั้งนี้ควรงดอาหารหวานจัด
หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้มีผลทำให้เกิดการสูญเสียสารอาหารต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น)

Friday, September 14, 2007

ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติบำบัด

ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติบำบัด



ธรรมชาติคือความสมดุล
สุขภาพที่ดีต้องประกอบด้วยความสมดุลของการกิน พักผ่อน และออกกำลังกาย หมายถึงมีความพอดี สอดคล้อง ไม่หักโหมไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งมากเป็นพิเศษ คนรักตัวเองฟังแล้วอาจจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินการปฏิบัติ เพียงแค่เพิ่มความใส่ใจและมีระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตอีกหน่อยเท่านั้น

* การกิน คนเราต้องการพลังงานจากอาหารวันละ 3 มื้อ แต่ละมื้อจึงควรบริโภคอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่คาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีน นอกจากนี้ยังควรได้รับไฟเบอร์หรือเส้นใย น้ำ รวมถึงวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่เพียงพอต่อการนำไปใช้ การบริโภคมากกว่าการนำไปใช้ย่อมทำให้เกิดการสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน

* พักผ่อน กินเพื่อให้ได้พลังงานและสารอาหารที่ต้องการอย่างเพียงพอแล้ว ร่างกายยังต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอด้วย ในเมื่อทำงานมาตลอดวัน รีดออกมาทั้งพลังสมองและกำลังกาย พอตกค่ำก็ต้องนอนหลับให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การทำงานหนักแต่นอนน้อยจึงทำให้ร่างกายทรุดโทรมและไม่ผอม เพราะร่างกายที่ขาดการพักผ่อนจะเร่งการเผาผลาญมากขึ้น ทำให้คุณรู้สึกหิวกว่าปกติ และกระหายน้ำตาลจนน่ากลัวในวันรุ่งขึ้น

* ออกกำลังกาย รู้ดีว่าการออกกำลังกายมีคุณประโยชน์กับสุขภาพมากมาย ตั้งแต่ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ช่วยกระชับกล้ามเนื้อ สร้างความกระฉับกระเฉง สดใส มีความสุข ร่างกายแข็งแรง นอนหลับสบาย และช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเอง

การออกกำลังกายแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ช่วยเพิ่มอัตราการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เต้นรำ หรือกระโดดเชือก เพื่อบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกนานครั้งละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง การออกกำลังกายประเภทที่ 2 ได้แก่ การบริหารความแข็งแกร่ง ได้แก่การยกน้ำหนักและเวทเทรนนิ่งต่างๆ ประเภทสุดท้ายคือ การฝึกความยืดหยุ่นของร่างกาย ได้แก่ การฝึกโยคะ พิลาทิส ฟิตบอล และไทชิ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น คล่องแคล่ว สงบ และมีสมาธิ

ลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ

นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล แห่งศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี กล่าวไว้ข้อหนึ่งว่า วิธีลดความอ้วนด้วยธรรมชาติบำบัด ที่สำคัญคือ ต้องออกกำลังกาย และ ควบคุมอาหาร ก่อนจะแนะนำสูตรควบคุมอาหาร ซึ่งมีให้เลือกปฏิบัติตามแต่ความถนัดของแต่ละคน

1. ไม่กิน(ข้าว) มื้อเย็น วิธีนี้เหมาะจะเป็นบันไดขั้นแรกสู่สูตรต่อๆ ไป โดยในมื้อเช้าและกลางวันสามารถกินได้ตามปกติ เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้นที่กินอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ข้าว อาจจะหาจานเปล่ามา 1 ใบ ใส่ผักสดให้เต็มจาน แล้วกินกับกับข้าวไทยๆ อาทิ น้ำพริกปลาทู แกงส้ม แกงเลียง ยำ ลาบ งดกับข้าวมันๆ เช่นผัดผักมันๆ ของทอด และแกงกะทิ

2. อดอาทิตย์ละวัน เลือก 1 วันในสัปดาห์สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้อย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก

3. อดด้วยน้ำผลไม้ 3 วัน วิธีการคล้ายกับสูตรที่ 2 เพียงแต่เปลี่ยนจากการกินเนื้อผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำผลไม้วันละชนิด
ติดต่อกัน 3 วัน

4. อดเพื่อสุขภาพ 10 วัน เริ่มจาก 2 วันแรกกินแต่ผลไม้ ต่อจากนั้นกินผักและผลไม้สดชนิดต่างๆ จนครบ 10 วัน ซึ่งใน 10 วันนี้ถ้าทำอย่างเข้มงวด น้ำหนักจะหายไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม

5. กินเนื้อกับผัก สูตรนี้เข้าข่ายการกินแบบ “พร่องแป้ง” หรือ “โลว์-คาร์บ(Low-Carb)” คือกินได้ทุกอย่าง โดยแตะคาร์โบไฮเดรตซึ่งรวมทั้งแป้ง ข้าว และผลไม้ให้น้อยที่สุด โดยกินผักปริมาณ 2 เท่าของเนื้อ

แม้ว่าการที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานหลักจากคาร์โบไฮเดรตตามปกติ จะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพเดียวกับภาวะอดอาหาร จนต้องไปดึงพลังงานส่วนเกินที่เก็บสำรองไว้มาใช้ก็จริง แต่ส่วนหนึ่งของพลังงานสำรองอาจเป็นโปรตีนจากกล้ามเนื้อ การกินเนื้อกับผักนานๆ จึงอาจส่งผลให้คุณผอมแบบกล้ามเนื้อหย่อนคล้อย จึงจำเป็นต้องรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อได้ นอกจากนี้หากบริหารความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน อย่างการยกเวทไปพร้อมกันด้วย ก็จะช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อให้สวยงามและดูดียิ่งขึ้นด้วย
ใช้ทั้ง 5 วิธีผสมผสานกันก็ได้ แต่ควรคำนึงว่าผักและผลไม้ที่จะกินควรมีความใหม่สดและผ่านการล้างอย่างสะอาดดีแล้ว ส่วนจะกินแบบนี้อยู่นานแค่ไหนก็ให้ติดตามจากผลของน้ำหนักตัวว่าได้ตามที่ต้องการแล้วหรือยัง เมื่อพอใจแล้วก็ค่อยๆ ปรับเพิ่มแป้งทีละนิด อย่างไรก็ตามแม้จะกลับมากินเหมือนเดิมแล้ว ก็ยังควรดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสกัดไม่ให้ไขมันกลับมาพอกพูนใหม่ได้ง่ายๆ อีก

สำหรับสัดส่วนของอาหารปกติหลังจากเข้าโปรแกรมกินเนื้อ-กินผักแล้วนั้น ควรเป็นการกินตามแนวธรรมชาติบำบัดคือ แต่ละวันกินข้าวกล้อง 3 มื้อ ผักสด 2 จาน ผลไม้ 2 ผล(ขนาดเท่ากับผลแอ็ปเปิ้ล) น้ำผลไม้คั้นสด 1 แก้ว กินเนื้อสัตว์วันละไม่เกิน 1 ฝ่ามือ อาหารไขมัน(จำพวกผัดและทอด) วันละไม่เกิน 2 อย่าง พร้อมๆ กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยรักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม มีรูปร่างที่สมส่วน และสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงมากขึ้น



เคล็ดลับการกินของสาวหุ่นดี* เพิ่มผัก ถ้าอยากผิวสวยและรูปร่างฟิตเฟิร์มแบบ น้องฟ้า-นาตาลี เกลโบวา อดีตมิสยูนิเวิร์ส หวานใจ ภราดร ศรีชาพันธุ์ ต้องเพิ่มผักทุกมื้อ นาตาลีบอกว่าไม่ว่าจะเป็นผักดิบหรือผักสุกก็มีแคลอรีน้อย แต่กินพื้นที่ในกระเพาะมาก ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทั้งยังมีไฟเบอร์สูง ช่วยระบบการย่อย และรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่

* วันละ 2 มื้อ ซูเปอร์โมเดล ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม เผยเคล็ดลับในการกินรักษาเชฟว่า จะไม่กินอะไรหลังหกโมงเย็น ลูกเกดเริ่มวันด้วยมื้อเช้า เธอชอบดื่มน้ำผัก-ผลไม้ที่คั้นแยกกากกับขนมปังโฮลวีต มื้อกลางวันสามารถกินได้ตามต้องการ แต่ถ้าเลือกได้จะกินก๋วยเตี๋ยว ซึ่งเบาท้องกว่าข้าว นับๆ ดูแล้วลูกเกดจึงกินเป็นเรื่องเป็นราวแค่วันละ 2 มื้อเท่านั้น


กำลังลด ต้อง ‘งด’ ก่อน* ข้าวทุกชนิด ไม่ว่าจะข้าวสวย ข้าวเหนียว ข้าวต้ม แม้แต่ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ซึ่งแม้จะมีประโยชน์มาก แต่ตอนที่กำลังลด ต้องงดก่อน ได้น้ำหนักที่พอใจเมื่อไหร่ค่อยกลับมากินข้าวกล้อง

* แป้งทุกชนิด ไม่ว่าจะขัดขาวหรือไม่ขัดขาว นอกจากนี้ไม่เฉพาะขนมปัง แต่ยังรวมถึงขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า และวุ้นเส้นด้วย

* น้ำตาลทุกชนิด รวมทั้งน้ำตาลเทียม ซึ่งแม้จะไม่ให้พลังงานแต่ก็จัดเป็นอาหารขยะประเภทหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปก็รังแต่จะไปเพิ่มภาระให้ร่างกาย ทำให้รู้สึกหิวบ่อยยิ่งขึ้น

* ผลไม้ทุกชนิด แม้ผลไม้หลายชนิดจะไม่มีรสหวาน แต่ก็ประกอบด้วยแป้ง ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ เช่นเดียวกับข้าว ซึ่งแม้ไม่หวานแต่ก็มีแป้งมาก

* ถั่วทุกชนิด ถั่วประกอบด้วยโปรตีน 1 ส่วน แป้งอีก 1 ส่วน การกินถั่วมากๆ จึงเพิ่มปริมาณแป้งให้กับร่างกายโดยไม่รู้ตัว ช่วงที่กำลังลดให้ได้น้ำหนักตัวที่พอใจจึงควรเลี่ยงถั่วทุกชนิด รวมทั้งน้ำเต้าหู้ด้วย อย่างไรก็ตามเต้าหู้ ซึ่งผ่านกระบวนการที่สกัดแป้งออกไปหมด เหลือเพียงส่วนของโปรตีนล้วนๆ นั้นสามารถกินได้

* นม และผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด แม้จะเป็นนมจืด หรือเพลนโยเกิร์ต เพราะในนมวัวมีน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนประกอบอยู่ ส่วนนมพร่องไขมันนั้นก็ถูกนำไขมันออกไปเพียงส่วนเดียว ยังเหลือคอเลอเตอรอลสูงๆ และไขมันอิ่มตัวที่ทำให้อ้วนได้อยู่ ช่วงนี้ควรงดไปก่อน



เห็นไหมคะว่าการลดน้ำหนักแบบธรรมชาติบำบัดทำไม่ยาก ไม่ต้องอดจนหิวไส้กิ่ว ไม่ต้องใช้เงิน ยา หรืออาหารเสริมลดความอ้วนเลย แค่ปฏิบัติตามสูตรเพื่อรูปร่างแข็งแรงและสุขภาพที่ดีขึ้น มีข้อดีมากมายอย่างนี้จะไม่ทดลองลดกันดูบ้างหรือคะ

Tuesday, September 11, 2007

โลหิตจาง

โลหิตจาง

อาการทั่วๆไปของคนที่โลหิตจาง อาการทั่วไปเหล่านี้จะมีเหมือนกันหมด ไม่ว่าคุณจะเป็นโรคโลหิตจางชนิดไหน

1. ความเหนื่อยเพลีย ความเหนื่อยเพลียเช่นนี้ คุณจะรู้สึกว่าเป็นอาการผิดสังเกต คือจะไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงเหนื่อยหรือเพลียง่ายๆเช่นนั้น

สมมติว่าคุณลองไปวิ่งระยะไกลสัก 3 หรือ 5 กม. พอวิ่งไปครบระยะทางที่ต้องการ คุณรู้สึกเหนื่อยเหงื่อแตกโทรม หัวใจเต้นแรง คุณรู้สึกอยากจะนั่งพักลงสักนิด

นั่นถือว่าเป็นการเหนื่อยเพลีย ตามธรรมดา คนที่ร่างกายแข็งแรง เวลาออกแรงหรือเล่นกีฬาเหงื่อก็ต้องออก หัวใจก็ต้องเต้นแรง อยากจะพักสักนิด เอาเป็นไรไปก็นั่งพักหน่อยเดียวก็จะหายเหนื่อย

แต่คนที่เริ่มออกวิ่ง วิ่งไปได้สัก 100 เมตรก็หายใจไม่ออก หน้าเขียว ต้องนั่งสักพักแล้วก็ทำท่าจะเป็นลม

หรือบางทีตอนเช้าจะต้องรีบไปทำงาน จะตื่น 6 โมงเช้า แต่พอลืมตาขึ้นก็ลุกไม่ไหว

สองตัวอย่างนี้เป็นการเหนื่อยเพลียซึ่งผิดปกติ ถ้าหาสาเหตุไม่เจอ ให้คิดดูก่อนว่าคุณอาจจะเป็นโรคโลหิตจางหรือเปล่า

2. หายใจไม่ออก หรือหอบหืดระหว่างทำงานหรือออกกำลังกาย

3. ปวดหัวเวียนหัว อาจจะเป็นบ่อยประจำทุกๆวัน หรือแม้แต่อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ก็ถือว่าเป็นบ่อยด้วย

4. นอนไม่หลับ

5. ผิวซีดหรือค่อนข้างเหลือง ถ้าพูดแบบชาวบ้านก็คือ ดูเหมือนเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย

6. เบื่ออาหารและช่องท้อง-กระเพาะลำไส้มีอาการผิดปกติ

ถ้าอาการต่างๆเหล่านี้มีสัก 5-6 รายการพร้อมๆกัน ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่าคุณเป็นโรคโลหิตจาง
หรือลองไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลหรือคลินิกขอตรวจเลือดดูค่ะ





สำหรับ ผู้หญิงที่เริ่มตั้งครรภ์ตั้งแต่ 2-3 เดือนขึ้นไป ถ้ามีอาการเหมือนที่ระบุไว้ข้างบนนี้สัก 4-5 ข้อขึ้นไป คุณก็คงมีอาการเริ่มเป็นโลหิตจางแล้ว ทั้งๆที่ก่อนจะตั้งครรภ์คุณก็แข็งแรงดี

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเมื่อคุณเริ่มตั้งครรภ์นั้น คุณแม่จะกินหรือพักผ่อนอย่างใด ก็เหมือนกับคุณต้องทำให้คน 2 คนในคนคนเดียว คือ คนเดียวต้องเลี้ยงดูสองคน เลือดในตัวก็ต้องแบ่งให้ลูกในท้องด้วย กินไม่พอ พักผ่อนไม่พอ นอกจากแม่จะเลือดน้อยแล้ว ลูกในท้องก็จะพลอยเลือดน้อยตามแม่ไปด้วย

แล้วจะแก้อย่างไรดีเล่า เริ่มต้นก็ต้องแก้ที่อาหารก่อน โรคโลหิตจางทั่วๆไป มักจะเป็นเพราะ ขาดสารอาหารประเภทโปรตีนและวิตามิน-แร่ธาตุ

ถ้าคุณกินอาหารตามสูตรชีวจิตตลอดมา คุณคงจะไม่เป็นโรคโลหิตจาง แต่ถ้าไม่ได้กินอาหารชีวจิตก็ขอให้เริ่มกินเสียแต่เดี๋ยวนี้

อาหารชีวจิต
ตามสูตรปกติ กินข้าวประเภทไม่ขัดขาว (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) 50% ของปริมาณอาหารหนึ่งมื้อ ผัก 25% โปรตีนจากพืช (ถั่วเหลือง-ถั่วอื่นๆ+ผลิตผลจากถั่ว เต้าหู้และปลาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง) ปริมาณ 15% และเบ็ดเตล็ด 10%

คนเป็นโรคโลหิตจาง ข้าวอาจจะมากไปหน่อย จึงขอให้ลดข้าวและเพิ่มผัก เพิ่มโปรตีนให้มากขึ้น

ฉะนั้น ให้ลดข้าวเหลือ 30% ผักเพิ่มเป็น 35% โปรตีนเพิ่มเป็น 25% (และปลาเพิ่มได้เป็นอาทิตย์ละ 5 ครั้ง) ส่วนเบ็ดเตล็ดคงเป็น 10% ตามเดิม

ตามสูตรอาหารชีวจิตที่แนะนำนี้ อาจจะเลือกเน้นอาหารที่มีธาตุเหล็กโฟลิค แอซิดและ B12 คือ หอย ปลา ถั่วต่างๆ แอส-ปารากัส ข้าวโอ๊ต แครอต แคนตาลูป ฟักทอง อา-โวคาโด ผลไม้แห้ง ลูกพีช อินทผลัม-กล้วยตาก จมูกข้าว (ข้าวสาลีและข้าวเจ้า)

นอกนั้นก็ขอแนะนำวิตามินและแร่ธาตุต่างๆชนิดที่สกัดเป็นเม็ด คือ เหล็ก วิตามิน E โฟลิค แอซิด วิตามิน B12, B6 และแมกนีเซียมกินจนรู้สึกว่าอาการทุกอย่างดีขึ้น ซึ่งก็จะตกอยู่ ระหว่าง 4-6 อาทิตย์ และเมื่ออาการดีขึ้นจน รู้สึกว่าอยู่ตัวแล้ว
จะหยุดกินวิตามินก็ได้ค่ะ
สาระน่ารู้ดีๆเหล่านี้ลองบอกเล่าให้คนที่เรารู้จักใกล้ๆตัวเราก็ได้นะคะ

Saturday, September 8, 2007

อยู่เป็นคู่อย่างไรเมื่อนิสัยต่างกัน

อยู่เป็นคู่อย่างไร เมื่อนิสัยต่างกัน



เมื่อตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ไม่มีใครคิดฝันว่าเมื่ออยู่กันไปนานๆ แล้วจะเกิดปัญหาตามมา
ต่างคิดถึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขแต่ในความเป็นจริงของชีวิต
ความยากลำบากของชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกัน จนเป็นความทุกข์อีกรูปแบบหนึ่งของชีวิต คือ


ความขัดแย้งกันระหว่างสามีภรรยา
ที่พบบ่อยมากที่สุด จนอาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มีคู่ไหนหลีกหนีปัญหาข้อนี้ไปได้พ้น คือ
ความขัดแย้งของการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในการใช้ชีวิตประจำวัน
ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนสองคนที่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
ล้วนมีที่มาแต่ต่างกันแทบทั้งสิ้น ตั้งแต่การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา การคบหาสมาคมกับเพื่อน
แต่ละคนต่างมีที่มาแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมาอยู่ด้วยกันย่อมมีความแตกต่างกัน
ในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน เช่นเรื่อง
อุปนิสัยส่วนตัว บางคนมีอุปนิสัยใจคอเป็นคนใจร้อน
อยากได้อะไรต้องเอาให้ได้ดังใจทันที ถ้าช้านิดหน่อย จะโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟ
อุปนิสัยแบบนี้ ตอนจีบกันอยู่ อาจไม่เคยหลุดออกมาให้ดูให้เห็น
เพราะไม่มีโอกาสที่จะพบเหตุการณ์ ที่แสดงความใจร้อนออกมา
แต่พอมาอยู่เป็นคู่ชีวิตกันจริงๆทุกวันทุกคืน
จะฝืนตัวเองยังไงไม่ให้ความใจร้อนหลุดออกมาบ้างเลยก็คงยาก
คนที่เป็นคู่ชีวิตอยู่ด้วย ก็คงช่วยทำให้เขาใจเย็นลงไม่ได้
เพราะมันเป็นอุปนิสัยใจคอที่เปลี่ยนแปลงยาก ความลำบากใจ
จึงตกมาอยู่กับคนที่อยู่ด้วยถ้าทนความลำบากใจจากอุปนิสัยที่แตกต่างกันไม่ได้
ก็จะอยู่ไปอย่างไม่มีความสุข ผลสุดท้ายอาจถึงขั้นแยกทางใครทางมันก็ได้

เรื่องนี้มีทางเดียว คือ ต้องปรับจิตใจของตัวเรา ให้ยอมรับเขาให้ได้ เมื่อพบเหตุการณ์ที่ทำให้เขาใจร้อน
เมื่อไหร่เราก็ควรใจเย็น และใช้คำพูดคำจาที่เปรียบเสมือนน้ำเย็นเข้าลูบ
คำพูดคำจาที่จะทำให้ออกมาต้องระมัดระวังให้ดีอย่าเป็นคำพูดที่เป็นเชื้อไฟ ให้ความใจร้อน
และ ความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟโหมขึ้นไปอีก ไม่ควรเป็นคำพูดที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาเชื่ออยู่ในขณะนั้น
ควรจะพูดเออออห่อหมกกับเขา ไปก่อน พูดง่ายๆคือ
พูดอะไรก็ได้ที่จะทำให้ถูกใจเขาความใจร้อนโมโหความโกรธของเขาลดลง
ช่วงนี้อย่าพึ่งไปนึกถึงข้อเท็จจริงหรือเรื่องของเหตุผล
หาทางทำให้คู้ของเราเย็นลงให้ได้ก่อนเป็นความจำเป็นเฉพาะหน้าพอใจร้อนใจเร็วซาลงแล้ว
ค่อยมาพูดกันด้วยเหตุและผล ก็จะช่วยให้เกิดความเข้าใจกันได้มากขึ้น

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ อย่าใช้การพูดเล่นเป็นน้ำเย็นเข้าลูบ
เวลาที่อีกฝ่ายใจร้อนโมโหความโกรธนั้นเขาจะไม่มีอารมณ์มาพูดเล่นหัวกับใคร
หรือไม่มีกะจิตกะใจมาสนุกไปกับคำพูดเล่นของใครได้
ถ้าเราขืนพูดเล่นเพื่อหวังให้เขาเย็นลง เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์
ถ้าขืนทำกันจริง ยิ่งเหมือนกับเอาน้ำมันราดใส่กองไฟ
ถ้ายังไม่รู้ว่าทำยังไงให้คู่ของเราเย็นลง ก็คงมีอีกวิธีหนึ่งคือ
การเฟดตัวเองออกไปให้ไกล สักระยะหนึ่งแต่ไม่ต้องถึงกับออกนอกบ้าน
ไปไหนอยู่ในบ้านนั่นแหละ และคอยชำเลืองดูให้เขาอยู่ในสายตา ตลอดเวลาก็พอ
เมื่อคนๆหนึ่งใจร้อนโมโหเขาอาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที่ ปล่อยให้เขาระเบิดออกมาให้เต็มที
เพราะอีกไม่กี่สิบนาทีต่อมามันจะค่อยๆ เย็นลงเรื่อยๆเมื่อเห็นเขาเย็นลงเมื่อไหร่ เราค่อยเข้าไปเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
จะสัมผัสด้วยการจูบหรือการโอบกอดกันบ้าง เพื่อสร้างความอบอุ่น ก็ไม่ผิดกติกาอันใด ชีวิตคู่ก็จะอยู่กันได้ต่อไป


อย่าปล่อยให้ความแตกต่างกันเล็กๆน้อยๆ มาคอยทำให้ชีวิตคู่ ของเราอัปปางลง
เราควรทำความเข้าใจกันและที่สำคัญอย่าโกรธพร้อมกันนะคะ......