Saturday, March 1, 2008

สูตรอาหารแบบวิธีธรรมชาติบำบัด



การเจ็บป่วยเพราะอาหารต้องแก้ด้วยการกินอาหาร
เรียกว่า “เกลือจิ้มเกลือ”
สูตรอาหารตามวิธีธรรมชาติบำบัด โดยการล้างพิษออกจากร่างกายโดยใช้อาหาร

สูตรที่ 1 ล้างไขมันในหลอดเลือด
ใช้ : โยเกิร์ต + นมสด (ประเภทพร่องมันเนยก็ได้) + น้ำผึ้ง + มะนาว
โดยนำมาผสมกันตามความชอบแล้วดื่มตอนเช้า

สูตรที่2 ล้างพิษด้วยเห็ด 3 อย่าง
ใช้: เห็ดสามอย่างที่รับประทานได้ นำมาต้มเอาน้ำมาดื่ม (ห้ามนำเอาไปผัดน้ำมัน)หรือทำอาหารประเภทแกงจืด แกงส้ม ตุ๋นไข่
เพราะอนุพันธ์ของเห็ดจะถักทอกันแล้วไปหุ้มสารพิษได้ โยเฉพาะซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง และไวรัสบีลงตับ เช่น เห็ด หอม เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ หรือบางคนก็เอามาต้มรวมกันแล้วเติมมะตูม ใบเตย เติมน้ำตาลกรวดก็เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเป็นตัวล้างพิษได้

สูตรที่3 การล้างหินปูนในหลอดเลือด
ใช้: กระเจี๊ยบแดงสด หรือ กระเจี๊ยบแดงแห้ง
ต้มกับพุทราไทยแห้ง อาจใช้พุทราป่า พุทราบ้าน พุทราอยุธยา หรือพุทราจีนก็ได้แต่ถ้าเป็นพุทราไทยแบบพุทราป่า จะประหยัดและหอมกว่า ต้มดื่มน้ำ
เหมาะกับคนที่มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง หรือมีหินปูนตามสมอง แก้คนที่เป็นอัลไซเมอร์และล้างหลอดเลือดให้สะอาด ส่วนน้ำตาลทราย นั้นก็บำรุงปอด แต่อย่ากินมากเท่านั้นเอง

สูตรที่4 การล้างน้ำตาลในหลอดเลือด
ใช้: กระเจี๊ยบ+พุทรา+รางจืด(เพื่อช่วยในการล้างน้ำตาลในหลอดเลือดได้ดี) นำมาต้มน้ำดื่ม

สูตรที่5 การล้างสารเสพติด
หญ้าดอกขาวแห้งต้ม นำน้ำมาดื่ม
โดยเอาหญ้าดอกขาวมาสับ ตากแดดไว้สักแดดแล้วเอามาคั่วให้แห้ง ห้ามใช้สดๆเพราะมีสารพิษอยู่ในตัว ตัวนี้ช่วยล้างสารเสพติด คือ ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดน้ำตาล
ถ้าคนปกติดื่มก็ได้เพราะไปช่วยบำรุงธาตุทำให้มีกำลัง

สูตรที่6 แก้โรคเบาหวาน
โรคนี้สาเหตุมาจากตับอ่อน ไม่แข็งแรง การฟื้นฟูตับอ่อน มีสมุนไพร 3 ตัวคือ

1.หญ้าหวาน จะฟื้นฟูตับอ่อนได้ดีที่สุด โดยเฉพาะตัวรากหญ้าหวานเป็นสินค้าส่งออก แปรรูปเป็นน้ำสกัดจากรากหญ้าหวานเมื่อส่งออกแล้วห้ามนำเข้ามาขายในประเทศ(กฎหมายบังคับ) เราจึงได้รับประทานแต่ใบหญ้าหวานก็พอชดเชยแก้เบาหวานได้บ้าง

2. รากเตยหอม ต้มกับน้ำสามารถฟื้นฟูอาการเบาหวานได้ และเพิ่มพลัง(เหมือนกระชายดำ)

3.ใบมะยม รับประทานได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ แต่ที่นิยมคือใบ เพทาหลาด(ใบที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไป) โดยนำมารับประทานโยการต้ม แกงเลียง ต้มโคล้ง ต้มยำ รับประทานสดๆ

สูตรที่7 แก้โรคหอบหืด
ใช้: ขิงแก่+กระทียม+หอมแดง+มะนาว+น้ำผึ้ง
ตัวยาที่แก้หอบได้ดีคือ ขิง โดยนำขิง กระเทียม หอมแดงขนาด(เท่านิ้วหัวแม่มือผู้ป่วย) นำเข้าเครื่องปั่นหรือตำในครก เติมน้ำดื่มหนึ่งแก้วกรองเอาเฉพาะน้ำ ใส่น้ำผึ้ง1ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก น้ำจะออกเป็นสีชมพู ถ่าน้ำออกมาเป็นสีอื่นแสดงว่าใช้ไม่ได้ เวลาดื่มต้องนั่งดื่ม เพราะยาแรงอาจทำให้ล้มได้ เวลาที่ดื่มคือ 03.00-05.00น. ดื่ม30วัน ถ้าเลยช่วงนี้ไปต้องดื่มเป็นเวลา60วัน

ในปัจจุบันนี้คนที่เป็นหอบไม่ค่อยหายเพราทานเนื้อหมูที่เขาเลี้ยงโยฉีดยาแก้หอบหืดให้มัน หรือคลุกในอาหารเพื่อหมูจะได้มีไขมันน้อยและเนื้อแดง พอเราทานเข้าไปมากๆเราเลยได้รับยานั้นไปด้วยยาแก้หอบที่ใช้ก็เลยใช้ไม่ค่อยได้ผล

สูตรที่8 โรคริดสีดวง
ใช้: มะระจีน นำมาตำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำผสมเกลือ น้ำตาล ดื่มก่อน 07.00น.

สูตรไทย: ทานกล้วยหอมมื้อเย็นวันละ2ลูก ริดสีดวงจะฝ่อเอง

สูตรจีน: รับประทานกล้วยหอมทั้งเปลือกโดยสไลด์กล้วยหอมทั้งเปลือกต้มน้ำให้ท่วมกล้วย แล้วเติมน้ำตาลกรวดนิดหน่อย(2ลูก ต่อ 1วัน) รับประทานทุกวันจนหาย

:มะระจีน 1ลูก เอาแต่เนื้อหั่นเป็นชิ้นๆเหมือนฟัก นำมาตำหรือปั่น ห้ามเติมน้ำเพิ่มเข้าไปเพราะจะทำให้ท้องเสียได้ เติมน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะเกลือครึ่งช้อนชา เวลาที่ดีที่สุดควรดื่มในช่วง เวลา 05.00-07.00น.

ถ้าเราใส่ใจในสุขภาพโดยหันกลับมาใช้สมุนไพรพื้นบ้านหรือ
ใช้ภูมิปัญญาของไทยเราเองในอนาคตข้างหน้า
อาจไม่ต้องพึ่งยาจากเมืองนอกราคาแพงๆอีกก็เป็นได้นะคะ

นาฬิกาชีวิต

นาฬิกาชีวิต
ของอาจารย์ สุทธิวัสส์ คำภา ซึ่งเป็นนักธรรมชาติบำบัด
คำว่าธรรมชาติบำบัด หมายถึง ..“การดูแลตนเองและคนรอบข้างให้มีสุขภาพดี โดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ใช้ยา ไม่ผ่าตัด ส่วนการเจ็บป่วย ถึงขั้นต้องกินยา ต้องผ่าตัดนั่นเป็นเรื่องของหมอ”...

นาฬิกาชีวิต”

โดยปกติคนเราจะสนใจดูแลสุขภาพร่างกาย กล้ามเนื้อและผิวพรรณ
แต่ไม่ค่อยได้สนใจ การดูแลอวัยวะภายในร่างกายของเราอวัยวะภายในเหล่านี้
จะมีเวลาทำงาน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ทุก2ชั่วโมงตลอดทั้งวันที่เรียกว่า “ นาฬิกาชีวิต”ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพอีกทางเลือกหนึ่ง
อวัยวะภายในจะทำงานหมุนเวียนกันไป เหมือนเข็มนาฬิกาได้แก่..

1. ช่วงเวลา 03.00น.-05.00น.

เป็นช่วงของวันใหม่ อวัยวะที่สำคัญเริ่มทำงาน ได้แก่ ปอด
โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคปอดหรือทางเดินหายใจ
เคล็ดลับ ให้ตื่นขึ้นมาแล้วสูดลมหายใจเข้า-ออกลึกๆ เพราะอากาศตอนเช้าจะสดชื่น
ส่วนผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจหอบหืด

2.ช่วงเวลา 05.00-07.00น.

อวัยวะที่ทำหน้าที่คือ ลำไส้ใหญ่
เป็นช่วงที่ร่างกายต้องขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย
ซึ่งบริเวณลำไส้ใหญ่มีหน้าที่ในการดูดซึมสารอาหาร เพื่อไปสร้างเม็ดเลือดแดง คนเราจะมีเลือดดีหรือไม่ดีอยู่ที่ลำไส้ใหญ่
สำหรับคนที่ต้องการทำดีท้อกแบบสวนทวารไม่แนะนำ
เพราะจะเป็นอันตราย เนื่องจากบริเวณลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กจะมีข้อต่ออยู่ ถ้ามีน้ำเขาไปอัดอาจจะเกิดระเบิดเป็นอันตรายได้
ควรล้างลำไส้ใหญ่โดยการดื่มน้ำ วันละ5แก้ว
อาหารที่ล้างลำไส้ได้ดีคือ โยเกิร์ตผสมนม มะนาว และน้ำผึ้ง
และ รับประทานขมิ้นชัน สำหรับผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ
ห้ามใช้ยาถ่ายหรือยาระบายเพราะจะทำให้ปลายประสาทเสื่อม

3. ช่วงเวลา07.00-09.00น.

อวัยวะที่ทำหน้าที่คือ กระเพาะอาหาร เพราะเป็นช่วงที่รับประทานอาหารเช้า ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้าจะทำให้กระเพาะเสื่อม
โดยจะมีอาการเหล่านี้

3.1 ใบหน้าจะแก่เร็ว คือลำไส้ไม่มีการขับถ่าย แล้วจะไปบีบเอาอุจจาระกลับเข้ามาที่กระเพาะจะถูกย่อยซ้ำ ส่งสารที่ย่อยเข้ากระแสเลือด ทำให้ร่างกายได้รับก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษ เด็กไทยยุคใหม่ไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าเนื่องจากความเร่งรีบ
ทำให้ค่า IQ ต่ำลง ดังนั้นเด็กๆควรรับประทานอาหารเช้า
หรืออย่างน้อยควรรับประทาน โยเกิร์ต และ กล้วย 1 ลูก จะทำให้การเรียนดีขึ้น

ดังคำพูดที่ว่า “ อาหารเช้าบำรุงสมอง อาหารกลางวัน บำรุงกำลัง ส่วนอาหารเย็น บำรุงเซ็กส์

3.2 ปวดเข่า เพราะไม่กินข้าวเช้า จะทำให้ขาไม่มีแรง ผิวพรรณไม่ดี ผิวจะตกกระ

4.ช่วงเวลา 09.00-11.00น.
อวัยวะที่สำคัญ คือ ม้าม ซึ่งจะอยู่ตรงชายโครงด้านซ้ายอยู่ระหว่าง กระเพาะ ปอด หัวใจ

ม้ามมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง น้ำเหลืองและภูมิคุ้มกันโรค
คนที่ม้ามโต จะผอมถาวร รับประทานเท่าไหร่จะไม่อ้วน
คนที่ม้ามชื้นน้ำเหลืองจะเสียง่าย ทำให้เป็นเริม งูสวัดได้ง่าย
ไม่กินอะไรก็อ้วน
ใครที่นอนช่วงเวลานี้ก็จะอ้วนแต่ถ้าได้เดินไปเดินมาหรือใช้สมองคิด
จะทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้ดี
การรับประทานขมิ้นชัน ที่เป็นผงหรือแคปซูลเป็นประจำ
นอกจากนี้่ มันเทศ สีเหลือง สีแดง สีขาว สีม่วง หรือบุก รับประทานแล้วจะลดความอ้วน

5.ช่วงเวลา 11.00-13.00น.

อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่คือ กล้ามเนื้อหัวใจ การดูแลหัวใจ อย่าอยู่ในอากาศร้อน
สำหรับคนที่ต้องทำงานในห้องแอร์ ตลอดเวลา ถ้าจะออกไปข้างนอกให้ยืนตรงประตูเพื่อปรับอุณหภูมิของร่างกายก่อน อย่าออกทันที เพราะจะทำให้อวัยวะภายในสุกได้ เช่นตับ หัวใจ หรือ อาจทำให้ตายได้ หัวใจที่ขาดสารอาหารโปตัสเซียม
จะทำให้เกิดการไหลตาย
คนที่เป็นโรคหัวใจจึงให้รับประทานผลไม้มากๆ
และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ
ถั่ว ข้าวเหนียว และของดอง ซึ่งมีโซเดียม หรือ เกลือสูง
เป็นสาเหตุให้หัวใจวายได้


6.ช่วงเวลา 13.00-15.00น.

อวัยวะที่สำคัญคือลำไส้เล็ก
ซึ่งเป็นอวัยวะที่ยาวมาก ลำไส้ผู้ชายจะยาว 30ฟุต ส่วนผู้หญิงจะยาวถึง40ฟุต
ดังนั้นผู้หญิงจึงมีปัญหาเรื่องลำไส้มากกว่าผู้ชาย เพราะลำไส้ยาวก็มีขยะตกค้างมาก ถ้ารับประทานผักและผลไม้มากๆจะช่วยได้
แต่ถ้ารับประทานพวกเนื้อสัตว์มาก จะทำให้เป็นมะเร็ง ลำไส้
และถ้าชอบของผัดของทอดที่มีน้ำมันพืชมากๆ
เพราะน้ำมันที่ใช้ทำจากน้ำมันปาล์มมีราคาถูก

7.ช่วงเวลา 15.00-17.00น.

อวัยวะที่สำคัญคือ กระเพาะปัสสาวะ
ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย ในคนที่ชอบกลั้นปัสสาวะบ่อยๆหรือเหงื่อออกน้อย เนื่องจากทำงานในห้องแอร์
จะทำให้เป็นนิ่ว และกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่าย
ควรรับประทาน แกนสัปปะรด ช่วยขับปัสสาวะได้ดี

8. ช่วงเวลา17.00-19.00น.

อวัยวะที่สำคัญคือ ไต
วิธีการรักษาโรคไต คือ ให้ดื่ม น้ำกระชาย จะทำให้ไตแข็งแรง หรือเห็ดหูหนูดำ
อาหารที่บำรุงไตได้แก่ เม็ดบัว จะช่วยบำรุงไต กระดูก สมอง สรรพคุณจะมากกว่าแป๊ะก๊วย

9.เวลา 19.00-23.00น.

อวัยวะที่สำคัญคือ เยื่อหุ้มหัวใจ คนที่มีโคเลสเตอรอลสูงจะทำให้เส้นเลือดตีบ ส้นเลือดขอดที่ขา
ให้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบต้มกับน้ำพุทรา
ถ้าเป็นโรคเก๊าต์ ให้รับประทานลูกเดือย

10.ช่วงเวลา21.00-23.00น.
ช่วงนี้ ร่างกายห้ามโดนความเย็นร่างกายจะป่วยง่าย
แต่ถ้ามีไข้ ให้ดื่มน้ำขิง จะช่วยลดไข้ได้

11.ช่วงเวลา23..-01.00น.

ี้ ร่างกายต้องการน้ำเปล่า 1 แก้ว ร่างกายจะสดชื่นจะไม่ปวดหัว แล้วจะทำให้ตื่นเช้าด้วย

12.ช่วงเวลา 01.00-03.00น.
เป็นช่วงเวลาของตับ เป็นช่วงเวลาที่คนเราต้องนอน ถ้าไม่นอนจะเป็นโรค
ไวรัสลงตับ มะเร็งในตับ แต่ถ้าหลับแค่2ชั่วโมงจะรู้สึกสดชื่น
วิธีแก้ คือ ให้รับประทาน น้ำตาลจะช่วยได้ค่ะ

ลองเอาความรู้เรื่อง์ของอาหารตามแบบธรรมชาติบำบัดไปใช้ดูนะคะ